บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการนิเทศ
ความหมายของการนิเทศ
คำว่า “นิเทศ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง “ชี้แจง”
หรือ “แสดง” ในภาษาอังกฤษใช้ว่า
“Supervise” หมายถึง “Watch Over” (เฝ้าดู)
“Control” (ควบคุม กำกับดูแล) และ “Superintend”
(ดูแล , อำนวยการ) นิเทศ
(Supervise) หรือการนิเทศ (Supervision) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดูแล
ควบคุม หรือการให้คำแนะนำชี้แจงในเรื่องงาน หรือการปฏิบัติงานทั้งงานธุรกิจ
และงานราชการ ทางด้านการศึกษาเป็นการนิเทศการศึกษา
(Educational Supervision) เป็นการนิเทศงานที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนในโรงเรียน
งานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และการจัดการศึกษาทั่วไป
ผู้ที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า ศึกษานิเทศก์ (School Supervisor หรือ Educational Supervisor) งานนิเทศการศึกษา
มีความหมายรวมไปถึงการนิเทศการสอน (Instructional Supervision) การนิเทศทั่วไป (General Supervision) การนิเทศเชิงบริหาร
(Administrative Supervision) และแบบการนิเทศทุกชนิด (All
Type of Supervision) ที่จัดขึ้นในโรงเรียน สถานศึกษา
และหน่วยงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษา
การนิเทศมีความหมายกว้างขวางและแตกต่างกันไป
ตามความรู้ประสบการณ์ และทักษะของนักการศึกษา ขึ้นอยู่กับแนวคิด
ระดับการปฏิบัติในการนำการนิเทศไปใช้
สงัด อุทรานันท์
ได้ให้แนวคิดการนิเทศการศึกษาว่า
การนิเทศการศึกษามีเป้าหมายอยู่ที่คุณภาพของนักเรียน แต่การดำเนินงานจะกระทำโดยผ่านตัวกลาง
คือครูและบุคลากรทางการศึกษาในประเด็นนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า
เป้าหมายที่มีการจัดให้มีการนิเทศการศึกษานั้น ไม่ได้มองเฉพาะบรรยากาศในการทำงานร่วมกันเท่านั้น
แต่อาจมองถึงการยอมรับซึ่งกันและกันการเปลี่ยนแปลง บทบาทในฐานะผู้นำ
และผู้ตาม ตลอดจนรับผิดชอบต่อผลงานร่วมกันด้วย
กลิคแมน (Glickman) ให้ความคิดเกี่ยวกับการนิเทศว่าเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับงานและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอน
ซึ่งเป็นการสอนในเรื่องหลักสูตร การจัดครูเข้าสอน การจัดสื่อการสอน
สิ่งอำนวยความสะดวก การเตรียมและพัฒนาครู รวมทั้งการประเมินผลการเรียนการสอน
เบอร์ตัน
และบรุคเนอร์ (Burton
and Bruckner) ได้ให้ความหมายของการนิเทศว่า การนิเทศ คือ
การให้บริการเกี่ยวกับความชำนาญทางเทคนิคด้านวิชาการในการเรียนการสอน
และการปรับปรุงสภาพการเรียนและความเจริญเติบโตของผู้เรียน
สเปียร์ส (Spears) ได้ให้คำจำกัดความว่า
เป็นกระบวนการที่จะทำให้เกิดการปรับปรุงการเรียนการสอนของครู
โดยการทำงานร่วมกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการนี้
เป็นกระบวนการกระตุ้นความเจริญก้าวหน้าของครู และมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือครู
เพื่อให้ครูช่วยตนเองได้
มาร์คส์ และสตูปส์ (Marks and Stoops) ได้กล่าวถึงการนิเทศว่า
เป็นการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนให้เหมาะกับสถานการณ์
และส่งผลสะท้อนต่อการพัฒนานักเรียน
โกลด์แฮมเมอร์ และคณะ (Goldhammer,
Robert., Anderson, Robert H., and Krajewski, Robert J) ได้สรุปจากคำจำกัดความ
การนิเทศไว้ว่า เป็นลักษณะงานที่มอบหมายให้ครูหรือ ผู้นิเทศก์
ที่จะกระตุ้นให้ครูหรือครูแนะแนวในโรงเรียน ให้มีการพัฒนาในการที่จะนำวิธีการสอน
สื่อการเรียนการสอนมาใช้ โดยเน้นถึงทักษะในการติดต่อสื่อสาร ในการนิเทศปัจจุบัน
การนิเทศได้พยายามที่จะช่วยเหลือครูแก้ปัญหา
ช่วยเหลือครูในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างครูและนักเรียน
สรุปได้ว่า จากแนวความคิดดังกล่าว
อาจจะสรุปเป็นความหมายของการนิเทศการศึกษาได้ว่า
การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม การบริการ และวิธีการต่างๆ
ที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาโดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
และการทำงานของครูให้มีประสิทธิภาพ
2. ความสำคัญของการนิเทศ
นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการนิเทศไว้ ดังนี้
มนูญ
อรุณไพโรจน์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการนิเทศการศึกษาไว้
ดังนี้
1. สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การศึกษาจำเป็นซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม
2. ความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ
เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดยั้ง
เป็นเหตุให้แนวคิดเรื่องการเรียนการสอนเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ครูจำเป็นต้องติดตามศึกษาให้มีความรู้ทันกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
แต่โดยที่ครูมีภาระหน้าที่ในการสอนและทำกิจกรรมต่าง ๆ มากเสียจนล้นมือ
จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการนิเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
3. การพัฒนาการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาอุปสรรคต่าง
ๆ เกี่ยวกับการเรียนการสอน
จำเป็นต้องอาศัยการนิเทศจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการโดยเฉพาะ ผู้นิเทศหรือศึกษานิเทศก์
4. คุณภาพการศึกษาหรือมาตรฐานการศึกษาของประเทศ
มีความจำเป็นต้องรักษาไว้ศึกษานิเทศก์จะทำหน้าที่เป็นผู้รายงานและดูแลให้การเรียนการสอนในโรงเรียนต่าง
ๆ ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้หากพิจารณาจากระบบการจัดการศึกษาแล้วจะเห็นว่า
การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการหรือเครื่องมือทางการบริหารที่จะปรับองค์กรทางการศึกษาให้เคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม
ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการนำความรู้ใหม่ ๆ ให้กับระบบและองค์การ
ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์
กล่าวถึง ความสำคัญของการนิเทศภายในไว้ว่า
การที่โรงเรียนแต่ละแห่งมีสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการแตกต่างกัน ผู้ที่ทราบปัญหาและความต้องการอย่างแท้จริงคือ ครูทุกคนในโรงเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในห้องเรียนการจัดการนิเทศการสอนกันเองภายในโรงเรียน
ย่อมสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาและสนองความต้องการได้อย่างถูกต้องดีกว่าและรวดเร็วกว่าการรอรับการช่วยเหลือแนะนำจากศึกษานิเทศก์ซึ่งอยู่ภายนอกและไม่ทราบสภาพปัญหาที่แท้จริง การที่โรงเรียนมีจำนวนมากขึ้นตามความเจริญเติบโตของสังคมทำให้ศึกษานิเทศก์ที่มีอยู่แล้วนั้นมีจำนวนน้อยลง
ทำให้ไม่สามารถดำเนินการนิเทศได้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่องในปริมาณที่ควรจะเป็น ดังนั้นโรงเรียนจึงมีความจำเป็นต้องจัดดำเนินการ นิเทศกันเอง
เพื่อให้สอดคล้องและทันต่อสภาพปัญหาในสถานการณ์นั้น ๆ การที่ครูมีจำนวนมากขึ้น มีคุณวุฒิสูงขึ้น มีความรู้
และทักษะเฉพาะสาขาวิชาแตกต่างกันปัญหาที่เกิดขึ้น ย่อมสามารถใช้ความรู้และทักษะที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันนั้น
ส่งเสริมหรือแนะนำซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าศึกษานิเทศก์ที่อยู่ภายนอกนอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วภายในโรงเรียนให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วยการที่เทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ
เปลี่ยนแปลงและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้โรงเรียนมีความจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ และทักษะที่สอดคล้องรองรับและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ โดยการจัดการนิเทศการสอนด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เช่น
การจัดประชุมปฏิบัติการให้ความรู้และทักษะในการสร้างหรือใช้เครื่องมือบางอย่าง การพา ครูไปศึกษาดูงานหรือชมนิทรรศการ เป็นต้น
วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์
กล่าวถึง ความสำคัญของการนิเทศภายในไว้ว่าการนิเทศเป็น
การส่งเสริมคุณภาพด้านการเรียนการสอนภายในโรงเรียน
ครูควรได้รับการนิเทศเพื่อพัฒนาความเจริญด้านการสอนและทางวิชาการโรงเรียนต้องมีการนิเทศ
เพราะโครงการที่ประกอบด้วยข้อมูลจากการนิเทศจะช่วยในการจำแนกคุณภาพครู และยังสามารถช่วยในการตัดสินใจปัญหาบางอย่างในโรงเรียนได้การนิเทศสามารถกระตุ้นนำความคิดใหม่
ๆ ให้เกิดขึ้นกับครูภายในโรงเรียน โดยเฉพาะกรณีที่นำเอาเทคนิคและวิธีการใหม่ ๆ
ตลอดจนการวิจัยมาใช้จะเป็นการช่วยในการเก็บข้อมูลในการนิเทศการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือโรงเรียนมีความจำเป็นที่จะต้องให้ครูทำต่อเนื่องกันไป
เพราะไม่มีหลักประกันว่าครูที่ผ่านสถาบันฝึกหัดครูจะเป็นครูที่มีประสิทธิภาพตลอดไป โดยไม่ต้องมีการนิเทศเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาการมีเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย
ๆ เพื่อช่วยให้การดำเนินการสอนบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจของคณะครูและก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในการทำงาน
จะได้ร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายอันเดียวกันมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
มีความรักและภูมิใจในอาชีพครูที่ตนปฏิบัติอยู่
นิพนธ์
ไทยพานิช ได้สรุปความสำคัญในการจัดให้มีการนิเทศภายใน ดังนี้
1. เพราะการนิเทศภายนอกที่ไม่สามารถทำได้ทั่วถึง
2. เพราะบุคลากรในโรงเรียนมีความรู้ความเข้าใจสภาพปัญหาความต้องการ ของตนเองได้ดีกว่าบุคคลภายนอก
3. เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จักรกฤช ยมหา
ได้กล่าวถึงความสำคัญของการนิเทศภายในโรงเรียนต่อการจัดการศึกษาไว้พอสรุปว่า
1. การนิเทศภายใน
กระทำโดยบุคลากรทุกคนของโรงเรียนเอง
ซึ่งรู้ซึ้งถึงปัญหาและสาเหตุของปัญหาด้านการเรียนการสอน ปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็ก
ผู้ปกครอง ชุมชนและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
เพราะอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาหรือเผชิญปัญหาด้วยตนเองจึงสามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้องตรงจุดได้มากกว่าบุคคลอื่นที่อยู่ภายนอกโรงเรียน
2. การนิเทศภายใน บุคลากรผู้ทำหน้าที่นิเทศกับครูมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ทำให้มีบรรยากาศการนิเทศที่ดี
ไม่เกิดความคัดข้องใจอันเกิดจากความไม่มั่นใจในกระบวนการการนิเทศและผู้นิเทศ
3. การนิเทศภายในเป็นการสร้างระบบการนิเทศการเรียนการสอนที่มีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
เพราะทั้งผู้นิเทศและครูในโรงเรียนเดียวกันใกล้ชิดกันอยู่แล้ว
อาจใช้รูปแบบทั้งที่เป็นทางการและรูปแบบที่ไม่เป็นทางการผสมผสานกันไป
ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อการนิเทศการเรียนการสอน
4. การนิเทศภายใน
ช่วยแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีในลักษณะร่วมมือร่วมใจกันระหว่างครูกับผู้นิเทศ
5. การนิเทศภายในช่วยให้ครูและบุคลากรของโรงเรียนมีความรู้เท่าทันกับ ความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา
วิทยาการและเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ระบบติดต่อสื่อสารชี้แจง
แนะนำระหว่างบุคลากรในโรงเรียนเอง
6. การนิเทศภายใน
ช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการใช้ระบบนิเทศจากภายนอก
ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งด้านอัตรากำลังคน งบประมาณ สิ่งอำนวยความสะดวก เวลาและอื่น ๆ
นานาประการซึ่งเป็นเหตุให้การนิเทศจากภายนอกมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ
โรงเรียนได้รับผลน้อย ไม่ทันความรวดเร็วของความต้องการในการพัฒนา
7. การนิเทศภายใน
เป็นการใช้บุคลากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
สามารถใช้บุคลากรของโรงเรียนทำหน้าที่ทั้งด้านการสอนและด้านการนิเทศทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
ทั้งนี้เพราะปัจจุบันครูประถมศึกษาได้รับการพัฒนาทั้งด้านความรู้ความสามารถ
จนมีบุคลากรที่มีคุณวุฒิสูงทั้งที่จบปริญญาตรี ปริญญาโท
และปริญญาเอกทางด้านการศึกษา บุคลากรบางส่วนก็มีประสบการณ์สูง
เพราะได้คลุกคลีกับกิจกรรมการเรียนการสอนบางกลุ่มประสบการณ์มาเป็นเวลานานจนมีผลงานดีเด่นเป็นตัวอย่างเป็นที่ยอมรับในวงการศึกษา
จึงควรให้บุคลากรดังกล่าวได้แสดงความรู้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนอย่างเต็มศักยภาพ
8. การนิเทศภายใน
เป็นการสนองเจตนารมณ์สูงสุดของการนิเทศการศึกษาที่ต้องการให้ครูได้นิเทศซึ่งกันและกัน
หรือสามารถนิเทศกันเองได้
จากทรรศนะของนักวิชาการจะเห็นได้ว่า
การนิเทศภายในโรงเรียนเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ
ที่จะทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของโรงเรียนดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้บริหาร คณะครู
ได้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนเองให้มีคุณภาพเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่กำหนด
3. จุดมุ่งหมายของการนิเทศ
การนิเทศภายในโรงเรียนมีความมุ่งหมายเพื่อช่วยครูให้มีความเจริญงอกงามในวิชาชีพของตน
บรรลุถึงขีดสูงสุดตามศักยภาพของแต่ละคน กล่าวคือ พัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร การใช้หลักสูตร
เทคนิคการจัดกระบวนการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล และสิ่งอื่น ๆ
ที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนการสอน
สาย ภาณุรัตน์
ผู้บุกเบิกงานนิเทศการศึกษาในประเทศไทย
ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการนิเทศการศึกษาไว้ 12 ประการ คือ
1. ช่วยให้ครูเห็นและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการศึกษา
และหน้าที่เฉพาะของโรงเรียน วัตถุประสงค์ของการศึกษา คือ
การให้เด็กมีความเจริญแห่งตน (Self - realization) มีมนุษยสัมพันธ์ (Human
Relation) ความสามารถในการครองชีพ (Economic Efficiency) และความรับผิดชอบในความเป็นพลเมือง
(Civic Responsibility) และการส่งเสริมให้เด็กเจริญเติบโตทั้ง
4 ด้าน คือ ทางด้านสติปัญญา ทางด้านอารมณ์ ทางด้านร่างกาย และทางด้านสังคมนั้น
ปัจจุบันไม่เป็นการเพียงพอ ต้องให้เด็กมีสุนทรียภาพ มโนภาพ และการสร้างสรรค์ด้วย
2. ช่วยให้ครูได้เห็นและเข้าใจปัญหาต่างๆ ของเยาวชน ช่วยจัดสนองความต้องการของเยาวชนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตลอดจนช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาอันจะพึงมีแก่เยาวชน
ปัญหาเด็กและเยาวชน
เช่น
– การสนองความต้องการของเด็กที่เติบโตขึ้นแต่ละวัย
ไม่สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก
– ปัญหาทางเศรษฐกิจ
– ปัญหาความประพฤติ การเลียนแบบ
และรสนิยมที่ขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
3. ช่วยสร้างคุณลักษณะแห่งความเป็นผู้นำ ผู้นำมี 3 แบบ คือ
–
ผู้นำแบบเผด็จการจะอยู่นอกกลุ่มและอยู่เหนือกลุ่ม
– ผู้นำแบบ Laissez Faire (ปล่อยตามบุญตามกรรม)
จะอยู่นอกกลุ่ม กลุ่มถือว่าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ไม่มีความสำคัญสำหรับกลุ่ม
– ผู้นำแบบประชาธิปไตย จะอยู่ในกลุ่ม
กลุ่มจะยอมรับให้อยู่ในกลุ่มด้วยในการสร้างคนให้มีลักษณะเป็นผู้นำนั้น
ให้ถืออุดมคติที่ว่า “จงนิเทศเพื่อการไม่นิเทศ”
4. ช่วยส่งเสริมขวัญของครู ให้อยู่ในสภาพที่ดีและเข้มแข็ง รวมหมู่คณะให้เป็นทีมที่ปฏิบัติงานร่วมกันด้วยกำลังสติปัญญาอันสูง
เพื่อบรรลุจุดประสงค์อันเดียวกัน
ศึกษานิเทศก์ต้องช่วยส่งเสริมสวัสดิการของครูแต่ละคน สร้างความสามัคคี และมี Group Spirit และ Team Work โดยการสร้างความสัมพันธ์กลมเกลียวกันระหว่างศึกษานิเทศก์กับครู
และระหว่างครูต่อครูด้วยกันเอง และระหว่างบรรดาครูต่องานโรงเรียน
งานโรงเรียนจะแข็งเท่าใดนั้น
ขึ้นอยู่ที่ความเข้มแข็งของสามัคคีธรรมของครูทุกคนในโรงเรียนนั้น
ศึกษานิเทศก์จะต้องเป็นผู้นำในเรื่องเหล่านี้
5. ช่วยพิจารณาความเหมาะสมของงานให้ถูกต้องกับความสามารถของครูแต่ละคน
และมอบหมายงานนั้นๆ ให้ครูแต่ละคน
แล้วช่วยประคับประคองให้ครูผู้นั้นใช้ความสามารถของตนปฏิบัติงานนั้นให้ก้าวหน้าอยู่เรื่อย
ๆ คนเรามีความสามารถพิเศษในบางอย่าง
และหย่อนในบางอย่าง
แต่ความหย่อนสมรรถภาพนี้อาจจะช่วยให้เข้มแข็งได้ โดยการฝึกอบรมให้ถูกวิธี
ให้ค้นหาสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในตัวครู แล้วส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น
6. ช่วยครูให้พัฒนาการสอนของตน
การพัฒนาการสอนเป็นการทำตนเองให้เข้ากับมาตรฐานของอาชีพครู ไม่เพียงแต่เป็นเพียง “ครูดี” เท่านั้น ข้อที่ควรระมัดระวังในเรื่องนี้ก็คือ
ก. อย่าได้พยายามยัดเยียดความคิดเห็นที่ตนนิยมให้ครูจำต้องรับ
หรือฝืนให้ครูทำตามแบบที่ตนทำหรือที่ตนชอบ
เพราะครูแต่ละคนมีความคิดเห็นที่เป็นของตนเอง มีแบบการทำงานที่ตามถนัด
และชอบที่จะทำอย่างนั้น ศึกษานิเทศก์จึงควรทำงานร่วมกับครู
โดยช่วยให้ครูได้รู้จักใช้ความสามารถของตนทำการปรับปรุงการสอนของตนเองด้วยตนเอง
พยายามสร้างสภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นแก่ครูที่ได้เข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือ
ข. จงพยายามหลีกเลี่ยงการกรองคำแนะนำต่างๆ
จนครูรับไม่ไหว คือ ทั้งมากทั้งยาก
ถ้าหาวิธีอื่นที่จะนิเทศจูงใจให้ครูเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการสอนได้ลำบาก
ก็ขอให้นึกถึงวิธีธรรมชาติ คือ วิธี “เปิบข้าวทีละคน” และ “ซดน้ำแกงทีละช้อน”
7. ช่วยฝึกครูใหม่ให้เข้าใจงานในโรงเรียน
และงานของอาชีพครู ครูที่ได้รับการบรรจุเข้ามาใหม่
หากไม่มีประสบการณ์มาก่อน ก็ไม่แตกต่างอะไรกันกับนักขับรถมือใหม่
ซึ่งเพิ่งได้รับใบอนุญาตขับขี่ยวดยาน
การช่วยฝึกครูใหม่ควรทำก่อนโรงเรียนเปิด
ฝึกทั้งด้านธุรการและการปกครองชั้น รวมทั้งด้านสังคมและการทำงานร่วมกัน
การติดตามช่วยเหลือต้องทำมากในระยะแรกๆ ที่เข้าประจำชั้นหรือเข้าทำงานสอน
บางครั้งจำเป็นต้องลงมือช่วยด้วยการกระทำของตนเอง และต่อมาครูบางคนก็เข้าระยะตก
ก็ต้องช่วยเหลืออีก และอาจทำควบกันไปได้กับครูเก่าที่อยู่ในลักษณะเดียวกัน
8. ช่วยประเมินผลงานของครูโดยอาศัยความเจริญงอกงามของเด็กไปตามแนวทางที่ได้ ตกลงกันไว้ การประเมินผลงานของครูนี้ก็คือ
การประเมินผลงานของศึกษานิเทศก์นั้นเอง
หลักเกณฑ์ที่ควรจะนำมาใช้ในการประเมินผลงานของครูได้
เช่น บันทึกการสังเกตของตนที่ทำเป็นประจำอยู่ตามปกติ
หรือการสังเกตในเวลาที่ครูเข้ามาร่วมประชุม หลักฐานการแสดง ริเริ่ม การวางตน
และความประพฤติ ความขยันหมั่นเพียร ทัศนคติ ปริมาณงาน และคุณภาพของงาน เป็นต้น
นอกจากนี้จะใช้แบบให้ครูวัดตนเอง
หรือนักเรียนวัดครูในด้านการสอน และการเรียนรู้ของตนก็ได้ แล้วแต่เห็นสมควรตามกรณี
9. เพื่อช่วยให้ครูรู้จักค้นคว้าหาจุดลำบากในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน
และช่วยครูวางแผนการสอนให้เหมาะสมเพื่อแก้ไข
การเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนย่อมแตกต่างกันเป็นคนๆ
ไป เด็กคนที่เรียนรู้ได้น้อยกว่าเด็กส่วนมากเขาเรียนรู้กันนั้น เป็นเพราะอะไร?
นี้คือจุดลำบากในการเรียนรู้ของเด็กที่ครูบางคนมองไม่เห็น หรือบางทีก็ปล่อยผ่านไปโดยไม่คิดหา
ศึกษานิเทศก์จะต้องช่วยครูหา และช่วยกันกับครูวางแผนการสอนให้เหมาะสมเป็นการช่วยแก้ไข
ปัญหาเด็กเรียนช้า
เด็กตกซ้ำชั้น เด็กไม่พูดกับครู และปัญหาอื่นๆ อันเกี่ยวกับการสังคม ความประพฤติ
และเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์เป็นปกติเด็ก เป็นต้น
ปัญหาเหล่านี้ศึกษานิเทศก์ช่วยครูได้ด้วยตนเอง และบางอย่างก็ต้องพึ่งผู้อื่น เช่น
นักสังคมสงเคราะห์ และแพทย์ เป็นต้น การช่วยในเรื่องนี้ของศึกษานิเทศก์ หมายถึง
การช่วยนิเทศไปจนถึงตัวนักเรียนแต่ละคน
เพื่อให้ได้มีโอกาสเรียนรู้เต็มตามสมรรถภาพของกำลังสติปัญญาของตน
10. ช่วยในด้านประชาสัมพันธ์
บอกเล่าและชี้แจงให้ราษฎรในท้องถิ่นทราบถึงความเคลื่อนไหวของการศึกษาที่โรงเรียนในท้องถิ่นได้ดำเนินการ
ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรเข้าใจจนให้ความร่วมมือ และให้การช่วยเหลือ
วิธีการที่จะช่วยทำให้ราษฎรเข้าใจในการจัดโรงเรียนและกิจกรรมต่างๆ
ที่โรงเรียนจัดขึ้นนั้นมีหลายทาง เช่น การติดต่อกับราษฎรเป็นการส่วนตัว
การเยี่ยมเยียน การอาศัยอิทธิพลทางจัดการกีฬา การแสดงกิจกรรมของโรงเรียน
การจัดตั้งสมาคมครูผู้ปกครอง ปาฐกถา ห้องสมุดประชาชน ศิลปหัตถกรรม เป็นต้น
11. ช่วยหยิบยกปัญหาต่างๆ
ของโรงเรียนที่ทางโรงเรียนไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง เสนอยอความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะที่จะแก้ไขให้ลุล่วงไปจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร และประชาชนหรือกลุ่มประชาชน ปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ไม่ควรปล่อยให้ครูใหญ่ คณะครู ผู้บังคับบัญชาฝ่ายบริหาร
ตามลำดับชั้น เป็นผู้แก้ไขตามลำพังโดยคิดว่า
ประชาชนในท้องถิ่นไม่มีความรู้พอที่จะแก้ไข
และไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะมาเกี่ยวข้องด้วย ศึกษานิเทศก์ควรจะได้ร่วมมือกับครูใหญ่หรือครูที่มีความสามารถคนใดคนหนึ่ง
หรือหลายคนเสนอความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากประชาชนในท้องถิ่นด้วย
จะเป็นการแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารและราษฎรก็ได้มีส่วนร่วมด้วย
12. ช่วยป้องกันครูให้พ้นจากการถูกใช้งานจนเกินขอบเขต และช่วยป้องกันครูจากการถูกตำหนิ ติเตียน หรือถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม
งานที่เกี่ยวข้องกับครูนั้นมีทั้งงานที่เกี่ยวกับการศึกษา
และไม่เกี่ยวกับการศึกษา ทำให้ครูต้องเสียเวลาไปปฏิบัติงานนั้นๆ
และมีผลกระทบต่องานประจำคืองานสอน ศึกษานิเทศก์ควรให้ผู้ให้งานครูนั้นได้เข้าใจข้อเท็จจริงว่า
งานของครูนั้นทางราชการถือว่า
งานรับผิดชอบในโรงเรียนของตนเป็นความรับผิดชอบอันสำคัญที่สุด
การตำหนิติเตียนนั้น
แม้แต่ครูที่ดีที่สุดก็ย่อมจะมีผู้ตำหนิ ควรให้ครูยอมรับความจริง
แม้ผู้ที่ถูกลงโทษก็เช่นเดียวกัน หากไม่ได้รับความเป็นธรรมศึกษานิเทศก์มีหน้าที่ช่วยเหลือดำเนินการให้ถูกต้องเป็นธรรม
และหาทางป้องกันมิให้เกิดขึ้น
สงัด อุทรานันท์
ได้กล่าวไว้ว่า
การนิเทศการศึกษามีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ
4 ประการ ดังนี้
1. เพื่อพัฒนาคน หมายถึง
การพัฒนาครูให้มีความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อย่างสอดคล้องตามแนวทางและเจตนารมณ์ของหลักสูตร
2. เพื่อพัฒนางาน หมายถึง การพัฒนางานด้านวิชาการของโรงเรียน เพื่อนำไปสู่
การพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและมีคุณลักษณะต่าง ๆ
ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้เป็นการมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของโรงเรียน
3. เพื่อประสานสัมพันธ์ หมายถึง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ ซึ่งได้แก่
ครู ผู้บริหารโรงเรียน และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ๆ
ซึ่งจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลตลอดเวลาในการทำงาน การมีความเข้าใจอันดีต่อกัน เข้าใจกันเห็นอกเห็นใจกัน นับเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการนิเทศการศึกษา
4. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
หมายถึง
การที่ทุกฝ่ายได้รับการบำรุงขวัญ
กำลังใจที่ดี ตลอดเวลาที่มีการปฏิบัติงานร่วมกัน มีการให้เกียรติยกย่องและการเสริมแรงในรูปแบบต่าง
ๆ ตามความเหมาะสม การที่บุคคลมีขวัญ
กำลังใจที่ดีย่อมเกิดความตั้งใจและมีความจริงใจต่อการปฏิบัติงานมุ่งสู่ผลสำเร็จของงานร่วมกัน
ทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการนิเทศการศึกษา
ชารี
มณีศรี ได้กล่าวไว้ว่า การนิเทศการศึกษามุ่งหมายที่จะช่วยให้ครูสอนดียิ่งขึ้น
ช่วยให้เด็กเรียนดีขึ้นและปรับปรุงโรงเรียนให้ดีขึ้น การนิเทศการศึกษามีความละเอียดลออและสนับซับซ้อนมากกว่าการนิเทศในอาชีพอื่น
ๆ
เพราะการพัฒนาคนต้องอาศัยกาลเวลาวิธีการ
ยิ่งบุคคล ที่จะพัฒนาเป็นเด็กในวัยเยาว์ งานนิเทศยิ่งต้องละเอียดอ่อนมากเท่านั้น
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของการนิเทศภายในไว้ ดังนี้
1. เพื่อให้สถานศึกษามีศักยภาพ
ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตรและให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
2. เพื่อให้สถานศึกษาสามารถบริหารและจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ
3. เพื่อพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนสังคม
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน
4. เพื่อให้บุคลากรในสถานศึกษา ได้พัฒนาเพิ่มพูนความรู้
ทักษะ และประสบการณ์
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน ตลอดจนความต้องการในวิชาชีพ
5. เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนปฏิรูประบบบริหาร
โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ
ร่วมตัดสินใจ
และร่วมรับผิดชอบ ชื่นชมในผลงาน
6. เพื่อให้เกิดการประสานงานและความร่วมมือ
ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่
ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม
จากทรรศนะของนักวิชาการ
สามารถสรุปจุดมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาได้ว่าเป็นความพยายามช่วยเหลือ แนะนำ
ส่งเสริมและพัฒนาครูด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน
สร้างความตระหนักและเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน สร้างขวัญและกำลังใจ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์
ประสานงานร่วมมือในการพัฒนางานการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
4. ประเภทของงานนิเทศ
การนิเทศการศึกษา อาจแบ่งออกตามวิธีปฏิบัติงานเป็น
4 ประเภท
1)
การนิเทศเพื่อการแก้ไข (Correction)
เป็นการนิเทศที่เกิดจากการพบข้อผิดพลาดและบกพร่องก็ให้หาทางช่วยแก้ไขโดยวิธีการต่าง
ๆ
2) การนิเทศเพื่อป้องกัน (Preventive) เป็นการนิเทศที่พยายามหาวิธีการต่าง ๆ
มาจัดดำเนินงานเพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
3) การนิเทศเพื่อก่อ (Construction) เป็นการนิเทศที่เกิดจากความพยายามที่จะกระทำในทางที่เหมาะสมเพื่อความเจริญเติบโตในอนาคต เช่น การใช้ระเบียบวิธีสอนที่ดีเป็นประจำ ช่วยให้กำลังใจช่วยกระตุ้นให้ครูทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง
4) การนิเทศเพื่อการสร้างสรรค์
(Creation) เป็นการนิเทศที่พยายามจะคิดสร้างสรรค์ในสิ่ง
ใหม่
ๆ ให้เกิดมีขึ้นในโรงเรียน
นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทประเภทของการนิเทศการศึกษาตามลักษณะต่างได้อีก ดังนี้
แบ่งประเภทของการนิเทศการศึกษาตามลักษณะงาน
1. นิเทศภายใน
2. นิเทศภายนอก
3. นิเทศทางไกล
แบ่งประเภทการนิเทศตามลักษณะกิจกรรม
1. นิเทศการสอน
2. นิเทศโครงการหรือกิจกรรม
3. นิเทศการบริหารจัดการ
แบ่งประเภทตามเทคนิควิธีการนิเทศ
1. การนิเทศแบบวิทยาศาสตร์(Scientific Supervision)
2. การนิเทศแบบคลินิก(Clinical
Supervision)
3. การนิเทศแบบมนุษยนิยม(Humanistic Supervision)
4. การนิเทศแบบแนะแนว(Guidance Supervision)
นอกจากนี้นักวิชาการบางท่าน
ได้แบ่งประเภทของการนิเทศได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การนิเทศทั่วไป
(General Supervision) หรือการนิเทศการศึกษา (Educational Supervision)
2. การนิเทศการสอน
(Instruction Supervision)
3. การนิเทศแบบคลินิก
(Clinical Supervision)
5. หลักสำคัญของการนิเทศ
สำหรับการนิเทศการศึกษามีหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่ยึดถือในการปฏิบัติ
ดังนี้
สงัด
อุทรานันท์ ได้กล่าวถึงหลักการนิเทศไว้ 3 ประการ เพื่อเป็นพื้นฐาน
สำหรับการนิเทศการศึกษา ดังนี้
หลักการที่ 1 การนิเทศการศึกษาเป็น “กระบวนการ” ทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้บริหาร ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ กล่าวคือคำว่า “กระบวนการ”จะมีความหมายครอบคลุมถึงการทำงานเป็นขั้นตอน มีความต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมีความเกี่ยวข้องปฏิสัมพันธ์ในหมู่ ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ที่พึงประสงค์ของการนิเทศการศึกษา
หลักการที่ 2 การนิเทศการศึกษามีเป้าหมายอยู่ที่คุณภาพของนักเรียน
แต่การ ดำเนินงานนั้นจะกระทำโดยผ่าน “ตัวกลาง” คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา กล่าวคือ การนิเทศ การศึกษา จะดำเนินการโดยผ่านครูและบุคลากรทางการศึกษา
ไม่ใช่ดำเนินการกับนักเรียน โดยตรง เป็นการทำงานร่วมกับครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา
ได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติงานสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อ
คุณภาพของนักเรียน
หลักการที่ 3 การนิเทศการศึกษาเน้นบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตย
กล่าวคือ กระบวนการนิเทศการศึกษา ไม่ได้มองเฉพาะบรรยากาศแห่งการทำงานร่วมกันเท่านั้น
แต่จะรวมถึงการยอมรับซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนบทบาทในฐานะผู้นำและผู้ตาม และความ รับผิดชอบต่อผลงานร่วมกันด้วย
เบอร์ตัน และบรัดเทอร์ (Burton and Brueckner)
ได้กำหนดหลักการนิเทศการศึกษาไว้ว่า
1.
การนิเทศการศึกษาควรมีความถูกต้องตามหลักวิชา (Theoretically Sound)
1.1
การนิเทศควรจะเป็นไปตามค่านิยม วัตถุประสงค์ และนโยบาย ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับการนั้นโดยเฉพาะ
1.2
การนิเทศควรจะเป็นไปตามความเป็นจริงและตามกฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นๆ
1.3
การนิเทศควรจะวิวัฒนาการทั้งทางด้านเครื่องมือและกลวิธี
โดยมีจุดมุ่งหมายและนโยบายที่แน่นอน
2.
การนิเทศการศึกษาควรจะเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific)
2.1
การนิเทศควรเป็นไปอย่างมีลำดับ มีระเบียบ และมีวิธีการในการศึกษาปรับปรุง
และประเมินผลสิ่งต่างๆ ภายในขอบเขตของงานนั้น
ทั้งนี้ย่อมหมายรวมทั้งด้านกระบวนการนิเทศและบรรดาอุปกรณ์ที่ใช้ในการนิเทศด้วย
2.2 การนิเทศควรได้จากการรวบรวมและสรุปผลจากข้อมูลอย่างเป็นปรนัยมีความถูกต้องแน่นอน
เป็นที่เชื่อถือได้ และอย่างมีระเบียบมากกว่าการสรุปเอาจากความคิดเห็น
3.
การนิเทศการศึกษาควรเป็นประชาธิปไตย (Democratic)
3.1 การนิเทศจะต้องเคารพในบุคคลและความแตกต่างของแต่ละบุคคล
และพยายามส่งเสริมการแสดงออกของแต่ละบุคคลอย่างเต็มที่
3.2 การนิเทศจะต้องเปิดโอกาสให้มีความร่วมมือ
และใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากที่สุด
3.3
การนิเทศควรใช้อำนาจให้น้อยที่สุด และอำนาจนั้นจำเป็นจะต้องได้มาจากหมู่คณะ
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของหมู่คณะไปสู่เป้าหมาย
4.
การนิเทศการศึกษาควรจะเป็นการสร้างสรรค์ (Creative)
4.1
การนิเทศควรจะแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล
แล้วเปิดโอกาสให้ได้แสดงออกและพัฒนาซึ่งความสามารถนั้นอย่างสูงสุด
4.2
การนิเทศควรจะมีส่วนในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานให้มากที่สุด
อาดัมส์และดิ๊กกี้ ( Adams and Dickey) ให้ความเห็นซึ่งสรุปเป็นหลักการนิเทศการศึกษาได้
4 ประการ คือ
(1)
มีพื้นฐานทางประชาธิปไตย
(2)
เป็นการสร้างสรรค์
(3)
มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาหลักสูตร
(4)
เป็นการนิเทศทั่วไป
หลักการนิเทศที่กล่าวมาในข้างต้น
ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติการนิเทศการศึกษา
แต่หากผู้ปฏิบัติงานมีแต่หลักการ แต่ไม่ตั้งใจทำงาน
งานนั้นก็จะไม่เกิดผลเท่าที่ควร ดังนี้ผู้ทำงานต้องมีทั้งหลักการและหัวใจหรือความมุ่งมั่นในการทำงานด้วยงานนิเทศจึงมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้
6.
ลักษณะงานนิเทศการศึกษา
การนิเทศเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างผู้ให้การนิเทศกับผู้รับการนิเทศโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้รับการนิเทศในทางที่ดีขึ้น
ซึ่งจะทำให้ผลงานของผู้ได้รับการนิเทศมีคุณภาพสูงขึ้น
เป็นเป้าหมายสูงสุดของการนิเทศการศึกษา
ลักษณะงานนิเทศการศึกษา
ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดแล้ว จะต้องศึกษาว่างานของโรงเรียน
มีอะไรบ้างโดยปกติ
งานของโรงเรียนมี 6
งาน คือ
1. งานวิชาการ ได้แก่ งานที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
งานหลักสูตร โครงการสอน แผนการสอน ตารางสอน การทำข้อทดสอบ เป็นต้น
2. งานบุคลากร ได้แก่ งานจัดอัตรากำลัง
การเลือกสรรบุคคลเข้าทำงาน การบรรจุแต่งตั้ง การพิจารณาความดีความชอบ
การเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง การรักษาวินัย การบำรุงขวัญและกำลังใจ เป็นต้น
3. งานกิจการนักเรียน ได้แก่
งานที่จัดให้กับนักเรียน เช่น การให้คำปรึกษา การแนะแนว บริการด้านสุขภาพ
การจัดอาหารกลางวัน การกีฬาและกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น
4. งานธุรการและการเงิน ได้แก่ งานสารบรรณ การเงิน
งบประมาณ การจัดซื้อและการจัดจ้าง งานบัญชี พัสดุ งานทะเบียนและสถิติ เป็นต้น
5. งานอาคารสถานที่
ได้แก่ งานวางแผนด้านอาคารสถานที่ การบำรุงรักษาและการซ่อมแซม
การปรับปรุงห้องเรียน และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในโรงเรียน เป็นต้น
6. งานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ได้แก่
งานประชาสัมพันธ์ งานสมาคมผู้ปกครองและครู สมาคมศิษย์เก่า มูลนิธิ งานวันสำคัญ
เช่น วันสำเร็จการศึกษา วันกตัญญู และวันไหว้ครู งานกิจกรรมชุมชน เช่น ทอดกฐิน
งานประจำปี งานสงกรานต์ งานลอยกระทง เป็นต้น
งานของโรงเรียนดังกล่าว
มีส่วนสัมพันธ์กับงานนิเทศการศึกษา อาจกล่าวได้ว่า
งานของโรงเรียนก็คืองานนิเทศการศึกษานั่นเองเพราะศึกษานิเทศก์จะต้องเข้าไปนิเทศโรงเรียนตามลักษณะของงานที่โรงเรียนปฏิบัติ
งานนิเทศการศึกษามิได้เพ่งเล็งเฉพาะตัวครู
โดยที่เห็นว่า ครูยังไม่ได้ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ในด้านการสอนและวิธีสอนเท่านั้น
ยังได้เพ่งเล็งไปถึงองค์ประกอบทั้งหมดที่มีผลต่อการเรียนการสอน เช่น
นโยบายและจุดมุ่งหมายของการให้การศึกษา วัสดุอุปกรณ์การสอน
สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการสอนของครู และการเรียนของนักเรียน สิ่งต่างๆ
เหล่านี้เป็นงานนิเทศการศึกษาเช่นเดียวกัน
เบอร์ตัน (Burton ) ได้จัดลักษณะงานของผู้นิเทศเป็น
5 งาน ดังนี้
1. งานปรับปรุงการสอน
ได้แก่ การเยี่ยมชั้นเรียน การประชุมปรึกษาหารือเป็นกลุ่ม และเป็นรายบุคคล
แนะนำการสอน สาธิตการสอน พัฒนามาตรฐานเพื่อการปรับปรุงตนเอง เป็นต้น
2. งานปรับปรุงครูด้วยการให้บริการแก่ครูในเรื่องต่างๆ
ได้แก่ การพบปะครู อ่านหนังสือวิชาชีพ ทำบรรณานุกรม และวิจารณ์หนังสือ
จัดป้ายนิเทศ เยี่ยมเยียนระหว่างกัน วิเคราะห์วิจารณ์ตนเอง เป็นต้น
3. งานคัดเลือกและรวบรวมเนื้อหาวิชา
เช่น การกำหนดวัตถุประสงค์ ศึกษาเนื้อหาวิชาต่างๆ และกิจกรรมการเรียน
ทดสอบและทดลองเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์การสอน ปรับปรุงแก้ไขรายวิชาต่างๆ
คัดเลือกและประเมินวัสดุอุปกรณ์เสริมการสอน เป็นต้น
4. งานทดสอบและวัดผล
ได้แก่ การใช้มาตรฐานและข้อทดสอบต่างๆ เพื่อการจำแนก แก้ไข และการแนะแนว เป็นต้น
5. งานประเมินครู
ได้แก่ การพัฒนาและประเมินครู โดยใช้บัตรประเมิน ตรวจสอบและประเมินตนเอง
แฮร์รีส (Harris)
ได้จัดลักษณะงานนิเทศเป็นกลุ่มงาน มี 10 งาน
ดังนี้
1. งานพัฒนาหลักสูตร
(Developing Curriculum) ได้แก่ การจัดทำและปรับปรุงหลักสูตร
พัฒนาคู่มือการใช้หลักสูตร กำหนดมาตรฐานของหลักสูตร วางแผนหน่วยการสอน
และการจัดรายวิชาใหม่
2. งานจัดการสอน (Organizing
for Instruction) ได้แก่ การจัดบุคลากร สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
ให้สัมพันธ์สอดคล้องกับเวลา และวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดกลุ่มนักเรียน วางแผนจัดตารางสอน อาคารสถานที่ กำหนดเวลาในการสอน ตารางเวลา
วางแผนสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างผิดปกติ และการจัดทีมการสอน
3. งานจัดหาบุคลากร
(Providing Staff) ได้แก่ การคัดเลือกบุคลากร การสรรหาบุคคล
และการบรรจุแต่งตั้ง การโยกย้าย โดยให้เกิดความมั่นใจว่าบุคลากรนั้นๆ
มีความสามารถเหมาะสมกับงานที่มอบหมาย และพอเพียง
4. งานจัดสิ่งอำนวยความสะดวก
(Providing Facilities) ได้แก่ การจัดทำ จัดหา
พัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน
พัฒนาสถานที่และคุณลักษณะจำเพาะของเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
5. งานจัดหาวัสดุอุปกรณ์
(Providing Materials) ได้แก่
การเลือกสรรวัสดุอุปกรณ์ให้เหมาะสมที่จะใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน ตรวจสอบ
ประเมิน จัดทำ และอื่นๆ เพื่อการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่เหมะสม
6. งานจัดอบรมประจำการ
(Arranging for in Service Education) ได้แก่
การวางแผนและการใช้ประสบการณ์การเรียนรู้
ปรับปรุงพฤติกรรมของบุคลากรในทางที่สัมพันธ์กับการสอน
เกี่ยวกับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้คำปรึกษา การจัดทัศนศึกษา
และการฝึกอบรมระยะสั้น รวมทั้งการให้การศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ
7. งานปฐมนิเทศบุคลากรผู้ร่วมงาน
(Orienting Staff Members) ได้แก่
การให้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นแก่สมาชิก
ในการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายให้สมาชิกใหม่คุ้นเคยกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ผู้ร่วมงาน และชุมชน รวมทั้งการพัฒนาขององค์การ
8. งานบริการพิเศษแก่นักเรียน
(Relating Special Pupil Services) ได้แก่
การจัดการประสานงาน การบริการนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการนั้นๆ
ได้สนับสนุนกระบวนการสอนอย่างจริงจัง ซึ่งได้แก่ การพัฒนานโยบาย
การจัดลำดับความสำคัญ
และกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการบริการบุคลากรให้มีความสัมพันธ์สูงสุดระหว่างบริการต่างๆ
ที่จัดให้กับเป้าหมาย ด้านการเรียนการสอนของโรงเรียน
9. งานพัฒนาการประชาสัมพันธ์
(Developing Public Relation) ได้แก่
การจัดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการสอนไปสู่ชุมชน และจากชุมชนไปยังโรงเรียน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกันในอันที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้ดีขึ้น
10. งานประเมินผลการสอน
(Evaluation Instruction) ได้แก่ การวางแผน
การสร้างเครื่องมือ การจัดการ และการดำเนินการตามกระบวนการในการรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ และการแปลความหมาย และการตัดสินใจ เพื่อการปรับปรุงการสอน
อุทัย
บุญประเสริฐ และชโลมใจ ภิงคารวัฒน์
มองลักษณะงานนิเทศเป็นการจัดการ และการส่งเสริมสนับสนุนในด้านต่างๆ
โดยกล่าวว่า งานนิเทศแท้จริงอยู่ที่
1. การจัดการให้ครูรู้งาน
และของเขตความรับผิดชอบ และสู่ทิศทางการทำงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
2. เสริมความรู้
ความเข้าใจ และความสามารถหรือทักษะในการใช้หลักสูตรให้ถูกต้อง
สอดคล้องกับระดับของงานที่รับผิดชอบอยู่
3. ช่วยสนับสนุน
ส่งเสริม กระตุ้น ประสบการณ์ให้ครูพัฒนาการเรียนการสอน
4. ส่งเสริมความก้าวหน้าในวิชาชีพ
ให้รอบรู้ทันโลกทันวิชาการ รู้จักแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง
5. ช่วยเสริมการบำรุงขวัญและกำลังใจ
ให้ความรู้สึกมั่นคงในการทำงานเพื่อโรงเรียน และเพื่อเด็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น